อยู่บ้านควรเลือกโยคะหรือเต้นแอโรบิคดี

Share : facebook_share line_share twitter_share messenger_share

อยู่บ้านควรเลือกโยคะหรือเต้นแอโรบิคดี



หลายคนคงเคยเจอปัญหาว่าอยู่บ้านควรเลือกโยคะหรือเต้นแอโรบิคดี ? ไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับกิจกรรมอะไร กว่าจะคิดได้ก็ขี้เกียจออกกำลังกายซะแล้ว วันนี้เรามีทางออกมาให้นักออกกำลังกายมือสมัครเล่นได้ตัดสินใจกันค่ะ

 

หนึ่งในการกิจกรรมยอดฮิตของสาว ๆ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพเห็นจะเป็นโยคะ และเต้นแอโรบิค แถมยังสามารถฝึกได้เองที่บ้าน โดยไม่ต้องยุ่งยากเรื่องอุปกรณ์ แค่เปิดคลิปแล้วทำตามโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ได้เลย แต่แบบไหนจะเหมาะกับเราไปดูความต่างความเหมือนระหว่างโยคะและแอโรบิคกันค่ะ

 

          ต้นกำเนิดเราต่างกัน

     โยคะ ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดียสมัยโบราณนานกว่าหลายพันปี และความรู้ด้านโยคะก็ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นวัฒนธรรม ในวงการโยคะจะรู้จักบุคคลสำคัญที่ปรับปรุงการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน คือ ปตัญชลี นักปราชญ์ชาวฮินดู ซึ่งตามหลักการเราจะฝึกท่าโยคะโดยการค้างท่านั้น ๆ ไว้ระยะหนึ่ง ปัจจุบันท่าโยคะเองมีมากมาย แต่ยังคงมีเอกลักษณ์การฝึกที่ชัดเจน รวมถึงถูกเผยแพร่การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ไปทั่วโลก ไม่ได้มีเพียงแค่ในอินเดียเท่านั้น

     แอโรบิค ถือกำเนิดและถูกขนานนามตั้งแต่ปี 1968 โดยนายแพทย์ เคนเน็ธ คูเปอร์ ของสหรัฐอเมริกา และได้ให้ความหมายของคำว่า แอโรบิคว่า เป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและปอดในการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจึงมีการปรับให้ทันสมัยโดยการทำให้เข้ากับจังหวะดนตรี จนเป็นการเต้นแอโรบิคจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แอโรบิคยังเผยแพร่ผ่านทางหนังสือเล่มต่าง ๆ จึงขึ้นแท่นวิธีการออกกำลังกายที่นิยมมากในอเมริกา ก่อนจะเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก

 

          ผลลัพธ์การออกกำลังกายที่ต่างกัน

     โยคะ หนึ่งในการออกกำลังกายที่เรียกเหงื่อแบบซึม ๆ ได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะเราต้องใช้พละกำลังในการทรงตัวให้อยู่ในท่าที่สมดุล จึงทำให้กล้ามเนื้อได้ยืดตัว และผ่อนคลาย หากฝึกเป็นประจำจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดอาการบาดเจ็บจากการอุบัติเหตุการกระแทกได้ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างสมาธิ และพัฒนาอารมณ์ รวมถึงจิตใจ ภาวะความเครียดจึงลดลง

     แอโรบิค ด้วยลักษณะการออกกำลังกายที่ต้องออกท่าทางตามจังหวะเพลง จึงต้องเน้นเรื่องการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ และยังทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีจากจังหวะการเต้นที่สลับไปมาตั้งแต่การวอร์มร่างกาย ซึ่งเราจะหายใจช้า จนไปถึงท่าเต้นที่เร่งจังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น แล้วกลับมาท่าวอร์ม พร้อมค่อย ๆ ผ่อนการหายใจลง แต่ยังคงความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย

 

          การออกกำลังกายนี้เหมาะกับใคร

     โยคะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพียงแต่ต้องจัดท่าทางโยคะอย่างถูกต้องและเหมาะสม พร้อมจังหวะเสียงเพลงคลอเบา ๆ

     การเต้นแอโรบิค เหมาะกับผู้ที่ไม่มีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต่าง ๆ และชอบท่าทางที่เข้ากับจังหวะเสียงเพลง

 

          ถ้าสามารถออกได้ทั้ง 2 แบบควรเลือกแบบไหนวันไหนดี

     โยคะ แนะนำว่าควรเล่นในวันที่รู้สึกเครียด ๆ อยากผ่อนคลายหรืออยากยืดกล้ามเนื้อในวันล้า ๆ

     การเต้นแอโรบิค แนะนำให้ฝึกในช่วงที่เราต้องการลดน้ำหนัก และอยากสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ในวันที่รู้สึกกระปี้กระเปร่าก็จัดได้เลยค่ะ

 

          อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมพร้อม

     โยคะ อุปกรณ์ที่สำคัญที่เราแนะนำให้ควรมีคือ เสื่อสำหรับเล่นโยคะ เพื่อเป็นเบาะรองสำหรับฝึกโยคะ ลดความเจ็บปวดในการกดทับของน้ำหนักกับพื้น โดยเฉพาะคนที่ต้องฝึกบนพื้นปูนและพื้นไม้ และควรเลือกแบบไม่ลื่นเกินไป หรือมันเกิน เพราะจะทำให้ทรงตัวยาก และผิดท่าได้ รวมถึงความยาวควรจะยาวให้พอกับร่างกายผู้ฝึกเมื่อฝึกในท่านอน ซึ่งเสื่อโยคะสามารถหาซื้อได้ง่ายที่ห้างสรรพสินค้าหรือทางออนไลน์

     แอโรบิค ควรมีอุปกรณ์ที่สำคัญคือ รองเท้า ซึ่งจะต้องเป็นรองเท้าผ้าใบที่เหมาะกับการรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนไหวตามจังหวะท่าทาง และตรงส่วนบนของหุ้มส้น ควรมีแผ่นรองนุ่มบริเวณเอ็นร้อยหวาย เพื่อป้องกันการบางเจ็บตรงช่วงเอ็นข้อเท้า รวมถึงพื้นรองเท้าควรยึดเกาะพื้นได้ดี

 

          การหายใจที่ต่างกัน

     โยคะ การหายใจถือเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการฝึกโยคะ ซึ่งจะเรียกการหายใจนี้ว่า อุชชายี คือการหายใจเข้าจมูกอย่างช้า ๆ โดยหายใจให้เท่าๆ กันทุกครั้ง พอหายใจเข้าควรจะหายใจเท่ากับการเต้นของหัวใจ 4-5 ครั้ง แล้วหายใจออกในระยะเวลาที่เท่ากัน นอกจากนี้การหายใจเข้าจะเหมาะกับท่ายืนและหายใจออกจะเหมาะกับจังหวะที่ใช้การย่อตัวหรือผ่อนร่างกาย

     การเต้นแอโรบิค ระบบหายใจจะต้องเร็วและแรงมากขึ้นตามจังหวะเพลง โดยให้เริ่มจากการวอร์มร่างกาย หายใจช้า ๆ แล้วค่อยเร่งจังหวะการหายใจให้เร็วขึ้น เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจแรงขึ้น เพื่อได้นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย พอที่จะทำให้เกิดการสูบฉีดของเลือดมากขึ้น ทั้งนี้เราควรจะประเมินตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ควรหักโหมมากเกินไป เพราะอาจจะหายใจไม่ทันได้นะคะ

 

          คลาสโยคะแบบไหนที่ใช่เรา

     เนื่องจากโยคะกำลังเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง เราจึงขอแนะนำการออกกำลังกายแบบเบา ๆ แต่รีดเหงื่อได้ไม่แพ้การเต้นแอโรบิคมาฝากทุกคนกันค่ะ

1.Bikram Yoga / โยคะร้อน

     เป็นคลาสเริ่มต้นสำหรับมือใหม่หัดเล่นกับโยคะร้อน มีการกำหนดอุณหภูมิสูงสุดถึง 37 องศาเซลเซียส คลาสนี้เน้นเรื่องความยืดหยุ่น ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานก็เล่นได้นะคะ เล่นง่ายแถมยังเผาผลาญได้ดีอีกด้วย

2.Hatha Yoga / หฐโยคะ

     เป็นการฝึกโยคะท่าพื้นฐานที่เรียกว่าอาสนะ สร้างความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจให้สัมพันธ์กัน มีการฝึกควบคุมลมหายใจ ท่าทางที่เน้นความยืดหยุ่นของร่างกาย คลาสนี้เน้นความผ่อนคลาย ใครที่เครียดเหนื่อยล้า มาลองฝึกโยคะคลาสนี้กันดูนะคะ รับรองว่าได้ผลดีแน่นอนค่ะ

3.Yin Yoga / หยินโยคะ

     คลาสนี้เหมาะกับคนใจร้อนมาก ๆ เลยค่ะ เพราะจะเน้นท่านั่งและท่านอนเป็นหลัก ซึ่งแต่ละท่านั้นจะต้องทำค้างไว้ 3-5 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียดอย่างเต็มที่ ที่สำคัญได้ฝึกการใช้สมาธิ ควบคุมอารมณ์ จิตใจ ใครใจร้อนมาก ๆ ลองเล่นคลาสนี้กันเถอะค่ะ

4.Vinyasa Yoga / วินยาสะโยคะ

     เป็นการฝึกโยคะแบบวินยาสะ ไม่มีรูปแบบหรือท่าที่ตายตัว เวลาเล่นจะรู้สึกสนุกและผ่อนคลาย อาจจะเริ่มจากท่ายืน ไปจนถึงนอนคว่ำ สาว ๆ คนไหนที่อยากมีรูปร่างสวยหุ่นดี กระชับ แข็งแรง แนะนำต้องลองคลาสนี้ค่ะ รับรองหุ่นปังแน่นอน

5. Barre

     คลาสนี้เป็นการออกกำลังกายแบบประยุกต์ผสมผสานการออกกำลังกายหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ประยุกต์การเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง พร้อมอุปกรณ์เช่น บาร์ ลูกบอล ดัมเบล มีเทคนิคการใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกาย

 

          ประเภทของการเต้นแอโรบิค

     การเต้นแอโรบิค ปัจจุบันมีหลายแบบด้วยกัน ถ้านำลักษณะการเคลื่อนไหวเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทจะสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้

1. การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำจะเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่มีบ้างเล็กน้อยหรือเกือบจะไม่มีเลย เช่น สปริงข้อเท่า การย่อเข่าการเดิน เป็นต้น

2.  การเต้นที่มีแรงกระแทกสูง (High – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกสูงจะเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของการกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้นที่ค่อนข้างจะรุนแรง เช่น การกระโดดลอยตัวและลงสู่พื้นด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือด้วยเท้าทั้งสองข้าง

3. การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลาย (Multi – impact aerobics dance) การเต้นที่มีแรงกระแทกหลากหลายจะเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของแรงกระแทกต่ำและแรงกระแทกสูงผสมกัน ซึ่งผู้เต้นจะใช้แรงกระแทกต่ำหรือแรงกระแทกสูงมากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้เต้นและจังหวะเพลง

4. การเต้นที่ปราศจากแรงกระแทก (No – impact aerobics dance) การเต้นแอโรบิคที่ปราศจากแรงกระแทก เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่มีแรงกระแทกระหว่างร่างกายกับพื้น เช่น การเต้นแอโรบิคในน้ำ เป็นต้น

 

          ความเหมือนของการออกกำลังกายทั้ง 2 คือ ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง นาน 15-45 นาที สามารถฝึกได้เองหรือศึกษาท่าได้จาก Social Media โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุระหว่างการออกกำลังกาย สำหรับใครที่คิดว่าอยู่บ้านควรเลือกโยคะหรือแอโรบิคดี หวังว่าจะตอบโจทย์สาว ๆ นักออกกำลังกายมือสมัครเล่นพอสมควรนะคะ อย่างไรก็ตามอย่าลืมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพที่ดีด้วยค่ะ

 

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

โยคะไม่จำเป็นต้องเล่นที่บ้าน

โยคะ กับผู้เริ่มต้น



บทความที่น่าสนใจ

โยคะ กระตุ้นภูมิต้านทาน สุขภาพดีง่าย ๆ ที่เราสร้างได้
โยคะ ( Yoga ) ยามเช้า ค่อย ๆ ตื่นรับเช้าวันใหม่ไปด้วยกัน